เอาตัวเองออกจาก Toxic Relationship

[ เอาตัวเองออกจาก Toxic Relationship ]

บทความนี้ยาวมากจึงอยากแบ่งออกเป็น5หมวดย่อยๆที่คุณควรรู้ เพื่อนๆสามารถอ่านทั้งหมดหรือเลือกอ่านตามหัวข้อที่สนใจได้

สารบัญ
1.สาเหตุที่เขียน
บทนี้จะเขียนเสมอนเป็นคำนำของหนังสือ
2.สิ่งที่อยากแนะนำ
เมื่อคุณเจอกับความสำพันธ์ที่Toxic คุณควรตระหนักรู้ว่ามันเกิดอันตรายไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ บทนี้อยากแนะนำให้คุณได้รู้จักกับวิธีรับมือเบื้องต้น
3.หลังจากที่เดินออกมา
หลังจากที่คุณเดินออกมาจากความสำพันธ์ที่Toxic เรื่องมันจะยังไม่จบและนี่คือสิ่งที่คุณอาจจะเจอเพื่อเตรียมใจและแนวทางการแก้ไขไว้
4.ลักษณะของพวกToxic
บทนี้เราจะบอกลักษณะคร่าวๆของพวกToxic เขาทำตัวอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร
5.สุดท้าย
เป็นเสมือนบทส่งท้ายของหนังสือ

[1] [สาเหตุที่เขียน]

ช่วงนี้มีหนังแนวๆละครหลังข่าวกำลังมาแรง ออกอากาศไปได้1ตอน(ณ.ขณะที่ผมกำลังเขียน) ที่ละครนี้ได้รับความนิยมเพราะเป็นละครสะท้อนสังคมในเรื่องของการต่อสู้ของผู้เป็นภรรยา เรื่องราวจะให้เราได้เห็นความกดดันที่ภรรยามีเมื่อสามีไปมีชู้ ทำร้ายร่างกาย ส่วนครอบครัวก็ดูจะเข้าข้างผู้ชายแต่ว่านางเอกก็ไม่ยอมและต่อสู้ในที่สุด
ความใหม่ของหนังเรื่องนี้คือไม่ใช่ผู้หญิงไปตบกับเมียน้อยแย่งผัว แต่เปลี่ยนมาตบผัวแทน (แต่ก็ยังมีเรื่องของการตบตีเข้ามาอยู่ดี แถมฉากเด็ดยังเป็นฉากถีบตกบันไดอีก)
นี่คือเรื่องราวคร่าวๆจากละครตอนที่1ที่ดูผ่านๆ
จากความเห็นของผมที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับToxic Relationship และอยู่ในครอบครัวที่Toxicเป็นจำนวน16ปี(ไม่นับเวลาอยู่ในท้อง)ทั้งในฐานะของคนที่เป็นลูก รวมไปถึงเพื่อน คนใกล้ตัว และคนที่เข้ามาขอรับการปรึกษา

[2] [สิ่งที่อยากแนะนำ]

สิ่งที่อยากจะบอกเป็นสิ่งแรกคือ "อย่าทำตามเลียนแบบหนัง"
โปรดอย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้บอกให้คุณยินยอมที่จะโดนเอาเปรียบ ทำร้ายทั้งร่างกายหรือวาจา หรือโดยพฤติกรรมอื่นๆที่ทำร้ายจิตใจเช่นการมีชู้
สิ่งที่รับไม่ได้เลยคือการที่ต้องรับสภาพที่ต้องอยู่แบบนี้ต่อไป
แต่เรารู้ดีว่าการโต้กลับด้วยความรุนแรงเราอาจจะโดนความรุนแรงที่มากกว่า แถมยังมีโอกาสเสี่ยงที่คดีอาจจะเบาลง ชาวบ้านก็อาจจะมองเป็นสมัครใจวิวาท
แล้วถ้าคุนไปรอถีบสามีคุณตรงบันได คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่โดนคว้าแขนแล้วจับเหวียงลงไปแทน? คุณจะสู้แรงอีกฝ่ายได้จริงๆหรอ?
ยิ่งถ้าคุณมีลูกด้วยกันหากเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นกับคุณฝ่ายหนึ่งใครจะดูแลลูก? สามีที่มีชู้ไปแล้ว สนใจในความสุขของตนเอง เขาจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าคุณหรือไม่? แล้วคุณมีพ่อแม่หรือคนอื่นๆที่ต้องดูแลอีกหรือไม่?
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจคุณควรนึกถึงสิ่งเหล่านี้
สิ่งที่อยากแนะนำให้นำไปปรับใช้ตามสถานการณ์คือ คุณต้องรู้จักเอาตัวรอด หลีกเลี่ยงการปะทะ นี่ไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
หากคุณจดทะเบียนคุณควรมองหาหลักฐานการหย่า
หากคุณไม่ได้จดทะเบียนคุณยังต้องเตรียมเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน
หากคุณมีลูกคุณจะแบ่งลูกยังไง แต่โดยส่วนตัวหากความToxicนั้นรุนแรงมากผมแนะนำให้คุณเลี้ยงลูกไว้
หากว่าคุณกลัวครอบครัวจะไม่สมบูรณ์แบบ วิธีคิดแบบนี้จะทำให้คุณไม่กล้าที่จะหาทางก้าวออกมา แต่มันส่งผลเสียระยะยาว ทั้งต่อสุขภาพของตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายหรือสุขภาพใจก็ตาม คุณอาจจะลงเอยด้วยการเป็นโรคซึมเศร้า เป็นมะเร็ง หรือโรคร้ายอื่นๆที่เกิดจากความเครียด แม้กระทั่งโดนทุบตีโดยตรง แล้วใครจะดูแลลูกคุณ?
หากว่าคุณรอให้คนที่Toxicเปลี่ยนพฤติกรรม บางคนบอกว่า
"เป็นคนดีค่ะ ความดีจะเปลี่ยนแปลงเค้าได้ค่ะ"
ข่าวร้ายหน่อยผมไม่อยากทำลายความหวัง แต่คนToxicจะไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ว่าจะจากทุกตำราบอกตรงกันและคนในเหตุการณ์ก็บอกตรงกัน ครอบครัวผมเป็นคนดีกันมาตั้ง16ปี(ประสบการณ์ตรง) คนที่เข้ามาปรึกษาผมมีบางครอบครัวลูก8ขวบ ก็น่าจะเป็นคนดีกันมาราวๆ8-9ปี อีกครอบครัวหนึ่งที่ปรึกษาผ่านทางการคุยเฟสก็เป็นคนดีกันมาตั้ง20กว่าปี ลูกเรียนจบมหาลัยกันหมดแล้ว แล้วเปลี่ยนได้ไหม . . . ไม่ได้
น่าเศร้าครอบครัวพวกนี้บางคนก็งงๆโทษตัวเองด้วย แต่มันก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ เพราะฝ่ายToxicจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้คุณ แล้วพูดซ้ำๆ (ศัพท์สมัยนี้เค้าเรียกว่า แก๊สไลท์ติ้ง) การแก๊สไลท์ติ้งเป็นทักษะหนึ่งของพวกToxic หากพวกเขาอัพสกิลนี้มามากพอมันจะแนบเนียน และมันโจมตีคุณได้อย่างตรงจุดมากขึ้นหากคุณโทษตัวเอง พฤติกรรมโทษตัวเองมักพบได้ในคนที่Low Self-Esteem (ผู้ที่เห็นคุณค่าในตนเองต่ำ)
แถมให้อีกอย่าง แม้ว่าคุณจะทำดีแค่ไหน แม้ว่าเรื่องนี้คุณอาจจะมองว่าเรื่องนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกับลูก ต่อให้ลูกคุณไม่ได้โดนทำร้ายโดยตรง แต่ผู้เป็นลูกยังคงสามารถซึมซับความรุนแรงเหล่านี้ได้ อารมณ์เชิงลบก็ยังส่งไปถึงตัวลูกคุณได้อยู่ดี ลูกที่เกิดในบ้านที่มีปัญหามักโทษตัวเองทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของลูกก็ตาม มันฟังดูไม่มีเหตุผลเพราะเด็กไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบการทะเลาะกันของพ่อแม่ แต่จิตใจของมนุษย์ไม่ได้ทำงานแบบนั้น ลูกยังคงบันทึกเหตุการณ์และเฝ้าโทษตัวเอง เด็กมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นคนที่ Low Self-Esteemได้ในอนาคต (อ้างอิงจากหนังสือ Childhood Disrupted)

[3] [หลังจากที่เดินออกมา]

พวกที่Toxicจะทำได้ทุกรูปแบบ อย่างดีมันก็ไปมีใหม่(ถ้ามันหาได้) แต่คุณอาจจะโดนนินทาหรือพูดถึงในเชิงลบๆ เรื่องนี้ไม่ต้องตกใจ เพราะอย่างที่บอกไปคนพวกนี้จะมองไม่เห็นความผิดของตนเอง
มาแบบเนียนๆมาคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มาแบบอ้อนวอน คนToxicบางพวกยอมแม้กระทั่งคุกเข่าขอโทษ แม้กระทั่งมีน้ำตา ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูจริงจังและแนบเนียน แต่เมื่อกลับไปคบแล้วพวกเขาก็จะกลับมาทำแบบเดิมซ้ำๆ
มาแบบก่อการร้าย ปืนจริง เจาะยาง อาละวาด ขู่ฆ่า หรืออื่นๆ มันฟังดูโคตรนิยาย แต่อยากจะบอกจริงๆว่าที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ตรงที่ครอบครัวเราเจอมาแล้วกับตัวจริงๆ
บางครั้งเราเองอาจจะต้องพึ่งกฏหมาย (ผมรู้ว่าผู้อ่านที่อ่านมาได้ยินเรื่องกฎหมายๆคนถอนหายใจ สภาพก็ไม่ต่างกับที่ผมต้องเจอหรอก) หลังจากที่เอาตัวออกมาแล้วในบางรายก็ยังไม่จบ ทั้งๆที่ก็เลิกกันมาเป็น10ๆปีแล้ว ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกลงกันลงตัวแล้ว ทั้งๆที่ก็มีการเซ็นสัญญาแล้วว่าลูกจะไม่ยุ่งกับทรัพย์สิน แต่ผู้เป็นพ่อห้ามมาก้าวก่าย แต่อีก8ปีหลังจากนั้นโต๊ะสนุ๊กของเราก็โดนทุบพังเละ อันนี้เป็นประสบการณ์ตรง ดังนั้นทำใจให้แน่วแน่ไม่ว่าอะไรจะเกิดแต่ขอให้เลี่ยงการปะทะ
มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว มีคดีหนึ่งในไทยเป็นหมอผู้หญิงที่ต้องต่อสู้กับการทำร้ายร่างกายของฝ่ายชายที่มีดีกรีเป็นถึงนักแม่นปืน ฝ่ายชายเองก็Toxic เคยทำร้ายร่างกายหมอผู้หญิงจนแท้งลูก ฝ่ายชายมีคำอ้างต่างๆนาๆว่าฝ่ายหญิงมีชู้ แต่ฝ่ายหญิงเลือกที่จะจบเรื่องโดยการจ้างมือปืนไปยิง ผมไม่ขอกล่าวถึงชื่อหมอผู้หญิงกับนักแม่นปืนผู้ชาย ให้คุณไปหาต่อเอง

[4] [ลักษณะของพวกToxic]

หลายคนอาจจะสงสัย ทำไมมันดูนิยาย ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่พูดกันมาแบบนี้ก็แสดงว่าคุณไม่เก็ต การที่คุณไม่เก็ตก็แปลว่าคุณไม่เคยพบ คุณไม่เคยพบคุณจึงไม่เข้าใจ แต่ถ้าคุณอยากเข้าใจเราได้พยายามเรียบเรียงและนำหนังสือมาอ้างอิงไว้ที่นี้2เล่มคือ 1.Dangerous Personalities และ 2.Dangerous Instincts ผสมกับที่ตัวเองได้ประสบพบเจอมาเอง
ในนี้อาจจะมีพฤติกรรมในตัวของคนที่คุณรู้จักเป็นบางข้อ และอาจจะไม่มีในบางข้อให้คุณไปประเมินด้วยตัวเองให้แน่ชัด
พวกเขามักคิดว่าตัวเขาวิเศษมากกว่าคนอื่น ดังนั้นการเอารัดเอาเปรียบจึงเป็นสิ่งปกติที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นพฤติกรรมไม่พึงประสงค์มักออกมาได้เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่การหยิบฉวยของของคุณไปใช้ มีชู้ได้(แต่คุณห้ามมีนะ) ด่าคุณได้ โขกสับจิกหัวคุณได้(แต่คุณห้ามด่าเขานะ) เขาดูวิเศษมากจริงๆใช่ไหม
พวกเขาคิดว่าเขามีความสามารถ แม้ว่าจริงๆแล้วไม่ ดังนั้นการเราจะได้ยินว่าเขาเป็นคนเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งๆที่ความจริงแล้วเกาะครอบครัวกินอยู่ แล้วการที่ครอบครัวมีอยู่มีกินนี้จะต้องขอบคุณเขานะ นอกจากนี้เมื่อเขาทำพลาดเขามักจะกล่าวโทษผู้อื่นเสมอๆด้วย
พวกเขามักกล่าวโทษผู้อื่น ต่อมาจากข้อที่แล้ว เขาจะโทษทุกคนได้ในทุกอย่าง เช่นถ้าเขามีชู้ เขาจะทำให้คุณเป็นฝ่ายรู้สึกผิด ตั้งแต่หาข้ออ้างเรื่องเวลา แม้งกระทั่งดูถูกคุณเรื่องอายุหรือหน้าตา
พฤติกรรมบงการคนอื่น บางครั้งฝ่ายชายจะขอให้คุณหยุดทำงานแล้วมาดูแลบ้าน อาจจะอ้างว่ากลัวชายอื่นจะมาจีบ บงการให้คุณแยกตัวออกจากฝูงเพื่อน ครอบครัว
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวผู้หญิงรมควันตัวเองพร้อมลูก2คนก็เกิดมาจากพฤติกรรมนี้ของฝ่ายชายนี้แหละ ผู้หญิงออกจากงาน หาเงินไม่ได้ พอฝ่ายชายเป็นคนหาเงินก็เริ่มด่าเมียและลูกว่าเป็นภาระ และมีชู้
ดังนั้นใครที่มีแฟนแล้วแฟนมีพฤติกรรมแบบนี้ให้ปักRed Flagไว้ เราศึกษาด้านนี้มานานและผู้หญิงที่พบเจออะไรแบบนี้มักบอกว่าเจอคนดีในฝัน เพราะละคร นิยาย ฉายซ้ำภาพพวกนี้บ่อยๆ รวมไปถึงการ์ตูนนิทานเจ้าหญิงเด็กดีด้วย
พฤติกรรมขี้หึงเกินเหตุ เป็นข้อต่อเนื่องมากจากข้อบน คนพวกนี้กลัวจะเสียคนรักไป มันเกิดจากความรู้สึก "ขาด" ในใจ
ละเมิดสิทธิ์คนอื่นอยู่บ่อยๆ ล้ำเส้น เพราะเขาคิดว่าทุกสิ่งเป็นของเขา บางทีอาจหมายรวมถึงความเป็นคนของคุณด้วยเช่นกัน
อ่อนไหวเกินเหตุ รับคำวิจารณ์ไม่ได้ บางครั้งพวกเขาจะแสดงบทเหยื่อ โดนวิจารณ์มาก็จะบอกว่าโดนรังแกบ้าง
ติดภาวะพึ่งพิง คนพวกนี้บางทีเรียกร้องอะไรไม่มีขอบเขต เซ้าซี้ เกาะแกะ จิตใจไม่มั่นคง กลัวโดนทิ้ง ถ้าอาการหนักหน่อยอาจมีการเรียกร้องความสนใจร่วมด้วย
ปั่นหัวคน เรียกร้องความสนใจ อย่างที่บอกไปข้อบน บางทีแกล้งป่วยบ้าง บางทีบ่นให้ช่วยนั่นช่วยนี่บ้าง แต่เมื่อตกลงช่วยไปแล้วคุณจะรู้สึกว่างานมันจะงอกเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พึ่งพิงไม่มีที่สิ้นสุด
มีความคิดแบบคู่ขั้วตรงกับข้าม ความคิดแบบนี่้คือความคิดที่แบ่งขาวแบ่งดำชัดเจน คนนั้นดีคนนี้ชั่ว
บางคนอารมณ์ขึ้นๆลงๆ วันดีๆของคุณจากที่เคยยิ้มหัวเราะกันในครอบครัวอย่างสนุกสนานจะจบลงในทันทีเมื่อมีใครสักคนพูดผิดหู เขาจะระเบิดอารมณ์ บางคนพรรณาถึงคนเหล่านี้ว่า "เวลาดีเขาก็ดี แต่เวลาโมโหเค้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนเลย" ผมได้ยินบ่อยมากเลย เพราะนั่นคือคำพูดที่พรรณาถึงคนในครอบครัวผมด้วยเช่นกัน
นับแต้มความผิดของคนอื่น คนพวกนี้นับแม่นเหมือนเครื่องคิดเลข พวกนี้มีบัญชีหนังหมาอยู่ในใจแน่นอน
หวาดระแวง พวกเขาหวาดระแวงว่าคนนั้นคนนี้จะพูดถึงเขายังไง จะคิดร้าย บางครั้งเราเจตนาดีเขาจะตีความไปว่า เราต้องการผลประโยชน์อะไรจากเขาหรือเปล่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นจะจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญว่าถ้าเขาคิดว่ามันจริง มันก็จะเป็นเรื่องจริงในสายตาเขา บางครั้งคนที่อยู่ในความสัมพันธ์มักต้องรับผิดทั้งๆที่ตนไม่ผิด
(อาจจะมีพฤติกรรมอื่นๆด้วยที่ผมอาจกล่าวไม่หมดใครมีสามารถเสริมได้นะครับ)
ข้อสุดท้ายที่อันตรายที่สุด.......... "ขาดความเห็นอกเห็นใจ" ข้อนี้เป็นตัวคูณในข้อทั้งหมดที่กล่าวมาเลย หากเป็นคนคะแนนถึงๆเขาสามารถเลยความToxicไปเป็นการก่ออาชญากรรมได้เลย เพราะขาดความเห็นอกเห็นใจที่เรียกว่า Empathy บางคนจึงไม่แยแสในความเจ็บปวดของผู้อื่น
ขาดหัวใจ (หมายถึงจิตใจไม่ใช่หมายถึงหัวใจที่สูบฉีดเลือด)ส่วนพวกอาชญากรตัวจริงๆจะขาดในเรื่องอารมณ์บางคนแสดงความรักไม่เป็น บางคนในวัยเด็กมีการฆ่าสัตว์ รังแกสัตว์ พวกเขามีแนวโน้มที่จะโตมาเป็นคนอันตรายได้
คนเหล่านี้บางทีเขาเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เท่าที่ค้นมามันมีปัจจัยหลักๆ2ปัจจัยที่ทำให้คนพวกนี้เป็นแบบนี้คือ 1.พันธุกรรม 2.การเลี้ยงดู (คนเจ้าชู้ทั้งที่Toxicและไม่Toxicก็มาจาก2ปัจจัยนี้เช่นกัน) แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการยืนยันที่แน่ชัดตรงนี้ข้อมูลสามารถอัพเดตได้ในอนาคต

[5] [สุดท้าย]

.....ท้ายที่สุดแล้วผมอยากให้ทุกคนตระหนักรู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนในครอบครัว มันเป็นความรุนแรงในครอบครัว
ขอให้ทุกคนที่ไม่เจอเรื่องเหล่านี้ อย่าได้เจอเรื่องเหล่านี้
ขอให้ทุกคนที่ได้พบเจอเรื่องราวเหล่านี้ ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ด้วยดี
พี่เข้มขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
ด้วยรัก ขมลว. (เข้ม มะลิวัฒน์)

___